รีวิวหนังใหม่จากมาร์เวล Black Widow อารัมภบทเติมเต็มส่วนที่หายไป
รีวิวหนังใหม่จากมาร์เวล Black Widow ในที่สุด…นางก็มาแล้ว หนังมาร์เวลเรื่องแรกในปีนี้ได้ฤกษ์ฉายสักที แม้ว่าจะมาในจังหวะที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มา นี่คือ ” Black Widow ” หนังเดี่ยวของสายลับสาวสมาชิกในอเวนเจอร์ส ที่ได้มีโอกาสถ่ายทอดเรื่องราวในมุมมองของเธอแบบเดี่ยวๆ เสียที การมาของเธอในครั้งนี้ถือว่าเป็นการเติมเต็มให้กับผู้ชมที่อยากจะรู้จัก นาตาชา ให้มากยิ่งขึ้น แม้ว่าโดยรวมๆ แล้วตัวหนังก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างไปจากเรื่องอื่นๆ สักเท่าไหร่
Black Widow เล่าเรื่องราวไทม์ไลน์ที่เกิดขึ้่นหลังจากเหตุการณ์ที่ นาตาชา โรมานอฟ ได้เลือกแปรทัพช่วยเหลือฝ่ายกัปตันอเมริกา จึงทำให้เธอต้องตกลงอยู่ในสถานะอาชญากรที่ละเมิดสนธิสัญญาโซโคเวีย หนีการตามไล่ล่าของ นายพลรอลส์ ผู้ที่เสนอให้มีสนธิสัญญาให้เหล่าอเวนเจอร์สอยู่ภายใต้การควบคุม ทำให้เธอต้องหลบซ่อนตัวและไม่สามารถอยู่ในอเมริกาได้ แต่นั่นก็ทำให้เธอเดินย้อนกลับเข้าไปสู่ห้วงอดีตของตัวเธอเอง เมื่อวายร้ายปริศนาอย่าง ทาส์กมาสเตอร์ ได้ปรากฏตัวขึ้น
และนี่ก็คือบทที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของ นาตาชา โรมานอฟ ในห้วงเวลาหนึ่งที่ยังไม่มีใครรู้ว่าเธอหนีไปอยู่ไหนและเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง หนังเรื่องนี้ถือว่าเข้ามาต่อเติมส่วนต่างๆ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แม้ว่าโดยภาพรวมนั้น Black Widow แทบจะไม่ได้แตกต่างไปจากสูตรสำเร็จเดิมๆ ของหนังมาร์เวลทั่วไป ทั้งองค์ประกอบและเส้นเรื่องก็ดำเนินไปแบบทิศทางที่คุ้นเคย แต่ใส่อรรถรสความสนุกเอาไว้ได้ตลอดทาง และทำให้คนดูยังสนใจได้เช่นเดิม
“สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน” ก็ยังคงโดดเด่นกับบทบาทที่เธอคู่ควรนี้ จึงทำให้รู้สึกแปลกใจหน่อยๆ ว่าผ่านมาเป็นสิบปีก็เพิ่งจะมีหนังเดี่ยวเป็นของตัวเอง ทั้งนี้พื้นฐานและการปูปมให้ตัวละครต่างๆ ค่อนข้างหนักแน่นและน่าสนใจพอดู แม้ว่าจะมความดราม่าเพื่อนหญิงพลังหญิงเข้ามาเป็นองค์ประกอบเด่นๆ ในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความ Feminist อยู่ในหนังมากจนเกินไป อยู่ในจังหวะที่พอเหมาะพอเจาะ ดูได้เพลินๆ ตลอดทั้ง 2 ชั่วโมง
งานกำกับของ “เคต ชอร์ตแลนด์” เป็นไปตามมาตรฐาน ไม่ได้มีอะไรหวือหวาที่ทำให้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ สักเท่าไหร่ แต่การร้อยเรียงเรื่องในหนังค่อนข้างพิถีพิถันจากหนังมาร์เวลเรื่องอื่นนิดหน่อย ใส่อารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้อย่างมีรายละเอียด ถึงจะยังต้องคงพื้นฐานของหนังแอคชั่นซูเปอร์ฮีโร่เอาไว้ก็ตาม
Black Widow ถือว่าลงรายละเอียดและสร้างมิติให้กับคาแรกเตอร์ต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ เป็นการปูทางเอาไว้ให้สามารถนำไปใช้ต่อยอดได้ทุกตัว โดยเฉพาะ ‘เยเลนา’ บทของ “ฟลอเรนซ์ พิวจ์” ที่โรยทางเอาไว้เกือบจะแข็งแรง และมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้เธอขึ้นมาเป็น แบล็ก วิโดว์ คนใหม่ได้สบายๆ เลย หากว่ามาร์เวลวางแผนอนาคตเอาไว้เช่นนั้น ก็สามารถเดินเรื่องต่อไปได้แบบไม่ยุ่งยาก
เช่นเดียวกับ “เรเชล ไวซ์” และ “เดวิด ฮาร์เบอร์” ที่เขามาเสริมในตัวละครสมทบที่เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับตัวละครได้ดี บทบาทของพวกเขาค่อนข้างมีมิติตัวเองพอสมครวร เมื่อตัวละครทั้ง 4 มาอยู่ร่วมจอด้วยกัน จึงไม่ต่างจากการรวมตัวของซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มย่อมๆ หรือจะว่าไปนี่เป็นเรื่องของธุรกิจครอบครัวสุดมันส์ (Family Business) อะไรทำนองนั้น
เอาเป็นว่า Black Widow เป็นหนังที่มาพอกับมาตรฐานลงตัวของหนังมาร์เวล ไม่มีขาดหรือเกิน ทุกองค์ประกอบเป็นสิ่งที่งควรจะเป็นไปในหนังจักรวาลนี้ แต่คนดูจะได้สนุกกับการเสริมและเพิ่มเติมมิติต่างๆ ที่ถูกเปิดเผยออกมา เหมือนกับหนังที่ได้ช่วยเติมเต็มภูมิหลังตัวละครที่ผู้ชมคุ้นเคยกันมาหลายปี ได้เห็นชีวิตของนาตาชา ได้รู้ว่าเกิดอะไรที่บูดาเปสต์ และยังมีอีกหลายๆ ปมที่รอให้คลายออก
Black Widow จึงเป็นหนังสูตรสำเร็จที่ยังไงก็ยังดูได้สนุก น่าติดตาม หากเป็นแฟนหนังมาร์เวลด้วยแล้ว…ก็ไม่ควรจะพลาด เพราะนี่เป็นส่วนที่จะเสริมไทม์ไลน์ของจักรวาลหนังมาร์เวลได้ดี แม้ว่าจะไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรมากนัก และน่าเสียดายที่ไม่ได้มีตัวละครอื่นๆ ในจักรวาลมาร่วมแจมในแบบที่หลายๆ เรื่องได้รับโอกาส และที่สำคัญ…ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็น สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน ในบทบาทนี้ เพราะเราก็รู้ๆ ถึงการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นอยู่…