รีวิวหนังใหม่ Chaos Walking – จิตปฏิวัติโลก 2021
รีวิวหนังใหม่ Chaos Walking – จิตปฏิวัติโลก 2021 หนัง Chaos Walking เรื่องราวภายในโลกดิสโทเปียที่สิ่งมีชีวิตสามารถได้ยิน Noise หรือเสียงความคิดของกันและกันได้ทั้งในรูปแบบของภาพ เสียง และตัวอักษรต่างๆ
เรื่องย่อหนัง หนัง Chaos Walking – จิตปฏิวัติโลก
พยายามเล่าเรื่องได้ดีเเต่หน้าเสียดายไปได้ไม่ถึงดั่งใจหวัง ผมกลับมารีวิวหนังละหลังจากที่ห่างไปสักพักช่วงนี้ไม่ค่อยว่างครับ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกอนาคตดิสโทเปีย สังคมตกอยู่ในสภาวะสงคราม และได้เกิดเชื้อโรคแปลกประหลาดคร่าสิ่งมีชีวิตเพศหญิงจนหมดสิ้น
ส่วนผู้ชายทุกคนที่เหลืออยู่จะเกิดอาการบางอย่างที่ไม่สามารถควบคุมตัวได้ ทุกความคิดในหัวมันจะถูกถ่ายถอดออกมาเป็นภาพ หรือที่พวกเขาเรียกมันว่า “เสียงคิด” กระทั่งวันหนึ่งขณะที่ “ทอดด์ ฮิววิตต์” (ทอม ฮอลแลนด์) ออกเดินทางพร้อมกับสุนัขตัวโปรด
ได้บังเอิญพบกับ “วิโอล่า” (เดซี่ ริดลีย์) ผู้หญิงคนแรกในชีวิต สิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอ เหตุการณ์นี้นำไปสู่เรื่องราวแห่งการผจญภัย ค้นหาคำตอบสุดลึกลับ เพื่อหยุดยั้งภัยร้ายครั้งสำคัญที่กำลังจะมาถึง!เป็นโปรเจคนึงที่เรียกได้ว่าเปิดกล้องถ่ายทำไปตั้งแต่ปี 2017 สมัยน้อง
ทอมฮอลแลนด์ และ เดย์ซี ริดลีย์ เพิ่งเข้าวงการใหม่ ๆ ก็ได้โคจรมาพบกันในหนังดิสโทเปีย ที่สร้างจากหนังสือนิยายชื่อดัง แต่ก็ประสบเคราะห์กรรมมาสาหัสมาก ไม่ว่าจะเป็นการโดนถ่ายซ่อมเยอะแยะมากมายมหาศาล เลื่อนฉายมารอบแล้วรอบเล่า จนในที่สุดปีนี้ก็ได้ฉายจริง ๆ ซักที
ตัวหนังเป็นเรื่องราวในปี 2257 ณ โลกใบใหม่ ดวงดาวที่ซึ่งมนุษย์ได้อพยพ ย้ายมาอาศัยอยู่ระลอกแรก โดยที่ไม่รู้เลยว่าดาวดวงนี้ได้มี Noise ปรากฎการณ์ประหลาด ที่ทำให้ผู้ชายทุกคนที่ลงมาบนดาวดวงนี้ จะไม่สามารถปิดกั้นความคิดตัวเองได้
เพราะความคิดในหัวจะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นคลื่นสัญญาณภาพ พร้อมเสียงต่าง ๆ ที่คิดในหัว ทำให้ไม่สามรถเก็บความลับ หรือคิดอะไรในใจแล้วคนอื่นจะไม่สามารถรับรู้ได้ เพราะเหตุนี้เองทำให้เกิดสงคราม และสูญเสียผู้หญิงไปสิ้น จนกระทั่งกระสวยอวกาศลึกลับได้ตกลงสู่ผิวดาว
ในนั้นมีผู้รอดชิวิตอยู่ 1คน และคนนั้นเป็นผู้หญิงที่ชื่อไวโอล่า ซึ่งท็อด เด็กหนุ่มผู้ซึ่งได้พบเธอเข้า การไล่ล่าก็เกิดขึ้น จนแล้วจนรอดสถาณการณ์ต่างนำพาให้ทั้งคู่ต้องออกเดินทางไปยังดินแดนอื่น เพื่อขอความช่วยเหลือ
จะว่ายังไงดี ตัวหนังเองนั้น ค่อนข้างที่จะเดินเรื่องได้ไม่ค่อยสมูทซักเท่าไหร่ ต้นเรื่องเล่าเรื่องได้ค่อนข้างรีบ แล้วจู่ๆความรีบในการเล่าค่อย ๆ หายไป พอกลางๆเรื่องก็เดินเรื่องได้เนิบนาบมาก ไปจนถึงจบเรื่อง นี่ถือเป็นข้อเสียของหนังเลยก็ว่าได้
ด้วยความนี้กราฟความสนุก ความลุ้นที่คนดูจะต้องเจอ มันไม่ได้มีการไต่ระดับความสนุกจากต้นเรื่องเลย เดินเรื่องแบบราบเรียบ ไคล์แมกซ์ของเรื่องก็เบาบางมาก แทบไม่ได้สมกับเป็นตอนจบของหนังเลยก็ว่าได้ อาจจะเพราะด้วยความที่หนังมันยังเป็นเพียงแค่ภาคแรกด้วยหรือเปล่า
เนื้อเรื่องเลยยังไม่ค่อยได้เดินไปถึงไหน ผมเองก็ไม่ได้อ่านเวอร์ชั่นหนังสือซะด้วย ไม่รู้ว่าในเวอร์ชั่นหนังนี้เดินเรื่องเหมือนหรือแตกต่างจากในนิยายหรือเปล่า และเรื่องราวในหนังนั้นจบลงตามที่นิยายเล่มแรกจบหรือเปล่า
สรุปได้ว่า ค่อนข้างน่าผิดหวังซะจริง ทั้ง ๆ ที่ Concept หนังเรื่องนี้ดูดีน่าติดตามเป็นอย่างมาก แต่การถ่ายทอดจากตัวหนังสือออกมาให้เห็นภาพนั้นค่อนข้างจะไม่ค่อยลงตัวซักเท่าไหร่ ถ้ายังมีหวังจะได้ทำภาคต่อ(ซึ่งน่าจะยาก) อยากให้แก้ไขในจุดนี้ด้วยจริงๆ
Chaos Walking
คือผลงานการกำกับของ Doug Liman ที่เคยฝากผลงานเอาไว้ใน Edge of Tomorrow กับเรื่องราวที่บอกเล่าถึงโลกใหม่ในอนาคตที่มนุษย์ผู้ชายมีสิ่งที่เรียกว่า The Noise ความคิดของตัวเองจะถูกส่งออกมาให้คนอื่นได้ยินได้เห็นได้รับรู้ เรียกง่าย ๆ ว่าคิดอะไรคนอื่นรู้หมด
โลกใบนี้ไม่มีผู้หญิง แต่อยู่มาวันนึง Todd Hewitt ก็ได้บังเอิญมาเจอกับผู้หญิงนามว่า Viola และการพบกันของทั้งคู่นำมาซึ่งความลับที่ Todd ไม่เคยรู้มาก่อน
นี่คือหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ Patrick Ness ชุดไตรภาค The Knife of Never Letting Go, The Ask and The Answer และ Monster of Men
ซึ่งในหนังเรื่องนี้ได้ยิบเอาเรื่องเล่มแรกมาทำมันจึงเต็มไปด้วยการปูเรื่องราวให้เราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังก่อน ใคร เป็นอะไร มายังไง จากไหน เกิดอะไรขึ้น
สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านนิยายอย่างเรา ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือ The Noise เนี่ยแหละ มันทำให้เราอยากรู้ว่าหนังจะเอาจุดนี้มาเล่นยังไงให้สนุก น่าสนใจ และน่าติดตาม อย่างแรกเลยคือการเอามาใช้กับคู่พระ-นาง ที่พระเอกมักจะดูเลิ่กลั่ก เขิน อาย พูดมาก(คิดอะไรเต็มหัว) และไม่เคยเจอผู้หญิง
ซึ่งจุดนี้หนังก็นำเสนอมาได้น่ารัก สนุก เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด เอาจริง ๆ สิ่งที่ทำให้หนังมีเสน่ห์ก็คือเคมีของทั้ง Tom Holland และ Daisy Ridley นั่นแหละ ที่แสนจะเข้ากั๊นเข้ากัน ทางด้าน Tom นี่เล่นแลดูเป็นตัวเองมาก ส่วน Daisy ในเรื่องนี้เธอดูน่ารักจริง ๆ
นักแสดงคนอื่น ๆ ก็น่าชื่นชมไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ Mads Mikkelsen ที่เล่นได้ดูน่าเกรงขาม น่ากลัว และโคตรเท่ พอเห็นการแสดงของเขาแบบนี้ยิ่งทำให้อยากดูว่าเขาจะมารับบท Grindelwald ใน Fantastic Beasts ยังไง
แต่คนที่น่าเสียดายคือ Nick Jonas ที่แอร์ไทม์น้อยเหลือเกิน น้อยไม่พอบทบาทยังไม่ค่อยมีอะไรสักเท่าไหร่ ไม่มีพื้นที่ให้ได้โชว์ของเลยและนอกเหนือจากนั้นหนังยังปูทางถึง The Noise ได้อย่างน่าสนใจ
ทางด้านเนื้อเรื่อง ซึ่งเอาจริง ๆ ช่วงแรกเล่าได้ไม่น่าสนุกและไม่น่าติดตามสักเท่าไหร่ เครื่องมาเริ่มติดตอนช่วงกลาง ๆ และช่วงหลังอะไรมันก็ดูง่ายไปหน่อย โดยภาพรวมเลยทำให้เนื้อเรื่องกับการเล่าเรื่องมันยังไม่กลมกล่อม
แต่ถึงแม้มันจะเริ่มสนุกขึ้นมาในช่วงกลางเรื่อง แต่กลับกลายเป็นว่าดูรีบเล่าเกินไป เหตุการณ์แต่ละอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เดี๋ยวมา เดี๋ยวไป และแน่นอนว่าหลายสิ่งหลายอย่างยังคงคาใจและสงสัย ในภาพรวมแล้วมันเลยกลายเป็นว่าเหมือนเนื้อเรื่องภาคนี้มันยังย่ำอยู่กับที่ไม่ค่อยได้รับรู้อะไรเท่าไหร่เลย
สรุปแล้วอาจจะเพราะด้วยความที่มันเป็นหนังเปิดไตรภาค มันจึงดูเน้นการปูเรื่องราวที่เต็มไปด้วยคำถาม และข้อสงสัย ไม่ค่อยมีอะไรให้น่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่ ไม่ได้เซอร์ไพรส์หรือหนีไปจากตัวอย่างเลย
เนื้อเรื่องมันเลยเหมือนย่ำอยู่กับที่ แต่สิ่งที่ทำให้ดูต่อได้คือคู่พระ-นางที่แลดูเคมีเข้ากันดี เล่นได้เป็นธรรมชาติ เอาจริง ๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นหนังโรแมนติกในยุค Dystopia แล้วจับบทแบบนี้ให้สองคนนี้เล่นก็คงจะยังสนุกอยู่และน่าสนใจไม่น้อย
สามารถติดตามการรีวิวหนังใหม่ๆได้ที่ >>> รีวิว