รีวิว Zack Snyder’s Justice league 2021 (4 ชม.ที่คุ้มค่าจริงๆ)

0
604

รีวิว Zack Snyder’s Justice league 2021 (4 ชม.ที่คุ้มค่าจริงๆ) 

รีวิว Zack Snyder’s Justice league 2021 (4 ชม.ที่คุ้มค่าจริงๆ) คงจำกันได้ว่าสาเหตุที่ แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) ต้องถอนตัวออกจากโปรเจกต์ ‘Justice League’ เวอร์ชันฉายโรงปี 2017 เพราะการจากไปของ ออทัมน์ สไนเดอร์ (Autumn Snyder) ลูกสาวของเขา ที่ทำอัตวินิบาตกรรมจากโรคซึมเศร้า สไนเดอร์เลยขอกลับไปใช้เวลาอยู่กับครอบครัวพร้อมด้วยเดบอราห์ สไนเดอร์ (Deborah Snyder) ภรรยาของเขาก็ถอนตัวจากการเป๋็นโปรดิวเซอร์หนังในคราวนั้นด้วย

หลังจากหนังที่ทางวอร์เนอร์จ้างจอส วีดอน (Joss Whedon) ผู้กำกับหนัง ‘Avengers’ ของมาร์เวลมาสานต่องานและถ่ายแก้ใหม่โดยไม่ได้รับเครดิตผู้กำกับผลลัพธ์ก็ออกมาใกล้เคียงกับหายนะที่สเตปเพนวูล์ฟ (Steppenwolf) ตัวร้ายของหนังได้ก่อไว้นั่นแหละคือมันออกมาเร่งรีบและดูเป็นหนังฮีโรขายความบันเทิงประหนึ่งหนังมาร์เวลที่เอาตัวละครดีซีไปปู้ยี่ปู้ยำจนแฟนหนังดีซีหลายคนรับไม่ได้เลยเกิดการเรียกร้องผ่านแคมเปญ #Releasethesnydercut

เพื่อให้ทางวอร์เนอร์นำฉบับที่สไนเดอร์ตั้งใจทำแต่แรกออกฉายเพื่อล้างตาแฟน ๆ และด้วยผลตอบรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเสียงเรียกร้องก็ได้ผล คุณพ่อและแม่แห่งบ้านสไนเดอร์รวบรวมพลังจากหัวใจที่แตกสลายกลับมาสานต่องานชิ้นนี้เป็นหนังรวมฮีโรความยาว 4 ชั่วโมงแบ่งเล่าเป็น 5 บทที่ตอบโจทย์ทั้งวิสัยทัศน์และความต่อเนื่องในซีรีส์หนังดีซีได้อย่างยอดเยี่ยมและสิ่งที่หลายคนอยากรู้ที่สุดคงหนีไม่พ้นว่าฉบับนี้มีอะไรต่างจากเดิมบ้างเรารวบรวมมาให้แล้วครับ

ไซบอร์ก หรือ วิกเตอร์ สโตน

ท่ามกลางโครงเรื่องหลักว่าด้วยการรวมพลังฮีโรต่อกรกับสเตปเพนวูล์ฟที่หนังก็เดิมตามฉบับเดิมแบบแทบไม่ผิดกลิ่นแล้วความต่างของหนังที่เห็นชัดเจนก็หนีไม่พ้นการบอกเล่าเรื่องราวของตัวละครที่ละเอียดกว่าฉบับออกฉายโรงนี่แหละครับ ถ้าจำกันได้ในเวอร์ชันก่อนเราจะรู้แค่ว่าไซบอร์กมีปมเรื่องร่างกายตัวเองและสูญเสียคุณแม่สุดที่รักไปผ่านการบอกเล่าเท่านั้น

แต่ฉบับนี้เราจะได้เห็นทั้งฉากแฟลชแบ็กที่น่าเจ็บปวดไม่น้อยและที่จี๊ดยิ่งกว่าคือปมพ่อลูกที่หนังบอกเล่าได้ลึกซึ้งมากผ่านพรอปอย่างเครื่องอัดเทปที่กลายเป็นตัวพิสูจน์หัวใจของตัวละครที่ดูหนีห่างจากความเป็นมนุษย์ขนาดนี้ และที่สำคัญคือเราจะได้เห็นเลยว่าที่แซ็ก สไนเดอร์บอกเราว่าเรย์ ฟิชเชอร์ (Ray Fisher) ได้ถ่ายทอดหัวใจของตัวละครนี้ออกมาอย่างยอดเยี่ยมนั้นไม่เกินความจริงเลย

เดอะแฟลชและฉากโชว์พลังสุดโรแมนติก

เช่นเดียวกันกับตัวละครไซบอร์ก เรื่องราวของเดอะแฟลชที่ถูกบอกเล่าในหนังฉบับนี้จะละเอียดกว่าเดิมเพียงแต่อาจจะไม่ได้มีข้อมูลใหม่ ๆ มากนักเพราะใครดูซีรีส์ ‘The Flash’ มาแล้วก็พอทราบว่าแบรี อัลเลน (Barry Allen) มีพ่อติดคุกและเขาทำทุกทางเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์และมอบอิสรภาพให้คนที่เขารักแต่กระนั้นด้วยความที่หนังใช้ตัวละครคนละชุดกับซีรีส์มันเลยน่าสนใจไม่น้อยที่มันเผยตัวละครสำคัญอีกตัวอย่าง ไอริส เวสต์ (Iris West) ที่รับบทโดยเคียร์ซี เคลมอนส์ (Kiersey Clemons)

โดยในซีนดังกล่าวหนังถ่ายทอดออกมาได้น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเมื่อ อัลเลน ต้องไปสมัครงานที่ร้านรับดูแลสุนัขแต่หลังจากพบ เวสต์ สาวสวยหน้าหวานได้ไม่นานก็มีรถบรรทุกเสียการควบคุมกำลังพุ่งมาชนเธอแต่ด้วยความเร็วระดับความไวแสง อัลเลนเลยช่วยเธอไว้พร้อมกับได้ชื่นชมความสวยและตกหลุมรักสาวเจ้าเข้าอย่างจัง

และแน่นอนว่าพอเรามีโอกาสได้เห็นเอซรา มิลเลอร์ (Ezra Miller) ในบท แบรี อัลเลน มากขึ้นพลังนักแสดงอันเหลือล้นก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างเต็มที่มีช่วงที่ทำให้เราต้องลุ้นเอาใจช่วยไม่เหมือนเวอร์ชันฉายโรงที่ดูเป็นตัวประกอบมาก ๆ สิ่งที่น่าเสียดายคงมีเพียงเรื่องราวส่วนอื่นในชีวิตแบรี อัลเลนที่ถูกเล่าแค่พอเป็นน้ำจิ้มเฉย ๆ ทั้งพ่อติดคุกและเรื่องสาวคนรักที่ยังไม่มีการสานต่อในหนังคงต้องไปลุ้นเอาในหนัง ‘The Flash’ ที่จะฉายในอนาคตอีกทีครับ อ้อ..สำหรับรังของเดอะ แฟลช สิ่งที่หายไปคือเพลง “As If It’s Your Last” ของวงแบล็กพิงก์ (Blackpink) นะครับเวอร์ชันถูกเปลี่ยนให้เขาดูเป็นอัจฉริยะเปี่ยมสีสันมากกว่าสาวกเคพอป

อควาแมนกับเรื่องราวที่ต่อเนื่องแนบสนิทกับหนังเดี่ยว

อีกหนึ่งตัวละครที่มีหนังเดี่ยวไปแล้วอย่าง อควาแมน (Aquaman) หรืออาร์เธอร์ เคอร์รี เจ้าสมุทรนักบู๊ผู้มาพร้อมกับตรีศูลก็ได้รับการบอกกล่าวมากขึ้่นแต่ข้อมูลที่อยู่ในหนังอาจจะไม่ได้ใหม่แล้ว เนื่องจากเราได้ดู ‘Aquaman’ ไปตั้งแต่ปี 2018 แล้วเพียงแต่เมื่อเทียบกับ ‘Justice League’ ที่เป็นเวอร์ชันของวีดอนเราจะพบว่าฉบับของแซ็ก สไนเดอร์มีการปูพื้นเบื้องต้นว่าเหตุการณ์ในหนังจะคาบเกี่ยวกับหนังเดี่ยวของ ‘Aquaman’ จริง ๆ

โดยในเวอร์ชันนี้แม้จะยังไม่ได้เห็นคิงออร์ม ตัวละครของเจสัน แพตทริก (Jason Patrick) แต่จากการบอกเล่าของ วัลโก (Vulko) ตัวละครของวิลเลม เดโฟ (Willem Dafoe)ก็มีการกล่าวอ้างถึงการใฝ่อำนาจบาตรใหญ่ของน้องต่างบิดาของอาร์เธอร์อย่างชัดเจนจะมีขัดใจบ้างก็แค่สีผมของมีร่า(Mera) ที่แสดงโดยสุดสวย แอมเบอร์ เฮิร์ด (Amber Heard)ไม่ได้แดงสะใจแม้อยู่ใต้น้ำเหมือนเวอร์ชันของเจมส์ วาน (James Wan)เท่านั้นแหละ

การปรากฎตัวของโจ๊กเกอร์ฉบับ จาเร็ด เลโท

ตามที่ได้มีข่าวมาก่อนหน้านี้ว่าหนึ่งในฉากที่ถูกถ่ายทำใหม่มีการปรับลุ๊กโจ๊กเกอร์ (Joker) ของ จาเร็ด เลโท (Jared Leto) ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นไม่น้อยตอนเห็นข่าว แต่ถามว่ามีความสำคัญกับเรื่องแค่ไหน หากตอบแบบเลี่ยงสปอยล์สุด ๆ ก็คงต้องบอกว่าเป็นเพียงน้ำจิ้มและของขวัญพิเศษแก่แฟน ๆ ดีซีเสียมากกว่า ซึ่งคงต้องรอในอนาคตล่ะนะว่าทางวอร์เนอร์จะสานต่อตัวละครโจ๊กเกอร์ของเลโทยังไง

ความไฮป์ที่มากขึ้นของแม่วันเดอร์วูแมน พ่อซูเปอร์แมน และความเก๋าเท่ของอัลเฟรดและกอร์ดอน

อันนี้ไม่ได้ต่างจากเวอร์ชันเดิมมากนักเพียงแต่มีการปรับจังหวะการเล่าเรื่องและเพิ่มความยาวของแต่ละฉากที่ปรากฎตัวของตัวละครจุดขายอยู่แล้ว ในกรณีวันเดอร์วูแมนต้องยอมรับว่าต่อให้เพิ่มความยาวฉากของนางมาแค่ไหนคนดูก็พร้อมปาดขี้ตาดูล่ะเพราะความสวยของ กัล กาดอต (Gal Gadot) นั้นเกินต้านสุด ๆ และยิ่งมีฉากกุ๊กกิ๊กเล็ก ๆ กับบรูซ เวย์น (Bruce Wayne) ของ เบน แอฟเฟล็ก (Ben Affleck) แล้วยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้เธอเข้าไปใหญ่

ส่วนใครรอการมาของซูเปอร์แมนในเวอร์ชันนี้แล้วหวังเห็นมุมอื่นที่ต่างจากเดิมก็ขอบอกว่ามันไม่ได้ชัดเจนเหมือนกรณีไซบอร์ก เดอะแฟลชหรืออควาแมนขนาดนั้นแต่เป็นงานดีไซน์ชุดที่เปลี่ยนไปชัดเจนและฉากบู๊ที่มีให้เห็นเยอะกว่าเดิมแต่โครงเรื่องนอกจากการชุบชีวิตแล้วก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นครับ

ส่วนตัวละครที่บทบาทไม่เยอะแต่เท่เหลือเกินอย่างอัลเฟรด (Alfred) พ่อบ้านของนายท่านเวย์นนั้น ก็ต้องบอกว่า เจเรมี ไอออนส์ (Jeremy Irons) เสน่ห์แรงมากเป็นคนแก่ที่ลูกล่อลูกชนเยอะสร้างสีสันได้ดีทีเดียว ส่วนท่านอธิบดีกอร์ดอน ของเจ เค ซิมมอนส์ก็ดูมีบทบาทมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

โดยภาพรวมแล้วต้องบอกว่า ‘Zack Snyder’s Justice League’ ถือว่าเติมเต็มจุดบกพร่องและช่องโหว่ของเรื่องราวได้ดีทีเดียวแม้บทหนังของ คริส เทอริโอ (Chris Terrio) จะยังมีช่องโหว่ตรงการเฉลี่ยน้ำหนักให้ตัวละครแต่ละตัวอยู่บ้างหรือบทสรุปที่หนังก็เลือกจะปลายเปิดไว้เพื่อรอหนังภาคต่อไปหรือหนังในจักรวาลมาสานต่อจนบางประเด็นยังไม่เคลียร์อยู่บ้าง

แต่อย่างน้อยการที่พ่อและแม่ตระกูลสไนเดอร์กลับมาสานต่อเรื่องราวโดยยังคงหัวใจของประเด็นครอบครัวพร้อมบทสรุปที่หนังตั้งชื่อว่า ‘ได้เป็นพ่อถึงสองครั้ง’ ก่อนจะจบด้วยตัวอักษรแด่ ออทัมน์ สไนเดอร์ (For Autumn) แล้วก็คงยากที่เราจะไม่คารวะหัวใจของ แซ็ก สไนเดอร์ และ เดบอราห์ สไนเดอร์

ติดตามเรื่องราวน่าสนใจเพิ่มเติม รีวิว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่